e-NABLE Health ก่อนทำเลสิกต้องดูปัจจัยอะไรบ้าง ?

ก่อนทำเลสิกต้องดูปัจจัยอะไรบ้าง ?

ทำเลสิก

เลสิก (LASIK) เป็นการผ่าตัดรักษาสายตาสั้น สายตายาว และสายตาเอียง โดยใช้เลเซอร์ปรับความโค้งของกระจกตา ทำให้แสงที่เข้ามากระทบตาหักเหเข้าสู่จอประสาทตาได้ชัดเจนขึ้น เลสิกเป็นการผ่าตัดที่ได้รับความนิยมสูงในประเทศไทย เนื่องจากให้ผลการรักษาที่มีประสิทธิภาพและสามารถมองเห็นได้ชัดเจนโดยไม่ต้องใช้แว่นตาหรือคอนแทคเลนส์อีกต่อไป 

อย่างไรก็ตาม การทำเลสิกก็ไม่ใช่การผ่าตัดแบบง่ายๆ จำเป็นต้องพิจารณาปัจจัยต่างๆ หลายอย่าง เพื่อให้แน่ใจว่าเหมาะสมและปลอดภัยสำหรับผู้ป่วย ปัจจัยที่ต้องพิจารณาก่อนทำเลสิก มีดังนี้

1. อายุ

โดยทั่วไปแล้ว แพทย์จะแนะนำให้ทำเลสิกได้ตั้งแต่อายุ 18 ปีขึ้นไป เนื่องจากเป็นช่วงที่ค่าสายตาคงที่และกระจกตามีความแข็งแรงเพียงพอต่อการรับการผ่าตัด อย่างไรก็ตาม แพทย์อาจพิจารณาทำเลสิกให้ผู้ป่วยที่มีอายุน้อยกว่าได้ หากค่าสายตาคงที่และกระจกตามีความหนาเพียงพอ

2. ค่าสายตา

ค่าสายตาที่เหมาะสมในการทำเลสิก คือ ค่าสายตาที่ไม่เปลี่ยนแปลงแล้วอย่างน้อย 1 ปี และค่าสายตาไม่เกิน 1200 ไดออปเตอร์ สำหรับค่าสายตาที่สูงกว่านี้ แพทย์อาจพิจารณาใช้วิธีผ่าตัดอื่นๆ เช่น การผ่าตัดใส่เลนส์เสริม (ICL)

3. ความหนาของกระจกตา

ความหนาของกระจกตาเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดว่าผู้ป่วยสามารถเข้ารับการผ่าตัดเลสิกได้หรือไม่ เนื่องจากการทำเลสิกเป็นการทำให้กระจกตาบางลง ดังนั้น กระจกตาจึงต้องมีความหนาเพียงพอต่อการรับการผ่าตัด โดยความหนาของกระจกตาที่เหมาะสมในการทำเลสิก คือ อย่างน้อย 480 ไมครอน

4. สุขภาพตา

ผู้ป่วยที่เป็นโรคตาบางชนิด เช่น ต้อหิน จอประสาทตาเสื่อม ตาแห้งอย่างรุนแรง โรคทางร่างกายที่มีผลต่อการหายของแผล เช่น โรคเบาหวาน SLE เป็นต้น อาจไม่เหมาะสมในการทำเลสิก เนื่องจากอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้

5. อาชีพ

อาชีพบางประเภทอาจไม่เหมาะสมในการทำเลสิก เช่น อาชีพที่ต้องทำงานกลางแจ้งเป็นเวลานาน เนื่องจากแสงแดดอาจส่งผลต่อสุขภาพดวงตาได้

6. ทัศนคติ

ผู้ป่วยควรมีทัศนคติที่ดีต่อการทำเลสิก และเข้าใจถึงความเสี่ยงและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้

นอกจากปัจจัยต่างๆ ข้างต้นแล้ว ผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อขอคำแนะนำเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจทำเลสิก เพื่อให้แน่ใจว่าเหมาะสมและปลอดภัยสำหรับตนเอง

การเตรียมตัวก่อนทำเลสิก

ก่อนทำเลสิก ผู้ป่วยจะต้องเตรียมตัวดังนี้

  • งดใช้คอนแทคเลนส์อย่างน้อย 3 วัน หากเป็นคอนแทคเลนส์ชนิดแข็ง ให้ถอดอย่างน้อย 7 วัน
  • ตรวจสุขภาพตาอย่างละเอียด
  • ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับข้อดี ข้อเสีย และความเสี่ยงของการทำเลสิก

การดูแลหลังทำเลสิก

หลังทำเลสิก ผู้ป่วยจะต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ดังนี้

  • รับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างครบถ้วน
  • หลีกเลี่ยงการขยี้ตา
  • สวมแว่นกันแดดเมื่ออยู่กลางแจ้ง
  • พักผ่อนให้เพียงพอ

โดยปกติแล้ว ผู้ป่วยจะสามารถมองเห็นได้ชัดเจนภายใน 1-2 วันหลังทำเลสิก อย่างไรก็ตาม อาจมีอาการระคายเคืองตา แสบตา หรือเคืองตาได้บ้าง ซึ่งจะค่อยๆ หายไปเองภายใน 1-2 สัปดาห์

เลสิกเป็นการผ่าตัดรักษาสายตาที่ได้รับความนิยมสูงในประเทศไทย เนื่องจากให้ผลการรักษาที่มีประสิทธิภาพและสามารถมองเห็นได้ชัดเจนโดยไม่ต้องใช้แว่นตาหรือคอนแทคเลนส์อีกต่อไป อย่างไรก็ตาม การทำเลสิกก็ไม่ใช่การผ่าตัดแบบง่ายๆ จำเป็นต้องพิจารณาปัจจัยต่างๆ หลายอย่าง เพื่อให้แน่ใจว่าเหมาะสมและปลอดภัยสำหรับผู้ป่วย

Related Post

ยาแก้ท้องอืดเด็ก

ทำความรู้จักกับอาการท้องอืดในเด็กทำความรู้จักกับอาการท้องอืดในเด็ก

อาการท้องอืด เป็นอาการที่พบได้บ่อยในทุกเพศทุกวัย ที่จะมีอาการแน่น จุกเสียด ปวดท้อง อิ่มเร็ว ท้องแข็ง รวมถึงมีอาการเรอ ผายลมและท้องร้องโครกครากหลังรับประทานอาหาร บางรายอาจมีท้องผูกหรือท้องเสียร่วมด้วย อาการนี้ส่วนใหญ่มักเป็นผลจากมีแก๊สหรือลมอยู่ในทางเดินอาหารเป็นจำนวนมาก เราเองที่เผ็นผู้ใหญ่แล้วมีอาการเหล่านี้ยังรู้สึกทรมาณ แล้วเด็กๆ ล่ะ จะรู้สึกขนาดไหน วันนี้เราจะพาไปทำความรู้จักกับอาการท้องอืดในเด็กและวิธีแก้ไขกันเลย อาการท้องอืดในเด็ก อาการท้องอืดของเด็กๆ  เป็นอาการที่พบได้บ่อยในเรื่องของโรคระบบทางเดินอาหาร ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากปริมาณก๊าซในกระเพาะอาหารและลำไส้มากเกินไป  ส่งผลให้เกิดอาการผิดปกติ  เช่น เรอบ่อย  อึดอัดแน่นท้องโดยเฉพาะหลังรับประทานอาหาร ท้องโตเป็นพักๆ ผายลมบ่อย เป็นต้น โดยเด็กนั้นมีระบบทางเดินอาหารของเด็กยังบอบบาง เอนไซม์ในการย่อยโปรตีน และแลคโตสยังทำงานไม่สมบูรณ์

ทดสอบการได้ยิน

ประโยชน์ของการทดสอบการได้ยินประโยชน์ของการทดสอบการได้ยิน

การได้ยินเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อการสื่อสารและการใช้ชีวิต ช่วยให้เราสามารถได้ยินเสียงรอบตัว เข้าใจภาษา สื่อสารกับผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ ได้อย่างปกติ  การสูญเสียการได้ยินเป็นปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อยมากขึ้นในปัจจุบัน สาเหตุของการสูญเสียการได้ยินมีหลายประการ เช่น เสียงดัง การติดเชื้อ การบาดเจ็บ โรคบางชนิด และอายุที่มากขึ้น การทดสอบการได้ยินเป็นการตรวจวัดระดับการได้ยิน เพื่อประเมินว่ามีปัญหาในการได้ยินหรือไม่ การทดสอบการได้ยินสามารถทำได้โดยแพทย์หรือนักโสตศอนาสิกแพทย์ ประโยชน์ของการทดสอบการได้ยิน การทดสอบการได้ยินมีประโยชน์หลายประการ ดังนี้ ระดับความรุนแรงของการสูญเสียการได้ยินแบ่งออกเป็น 5 ระดับ โดยระดับ 0 หมายถึงการได้ยินปกติ ระดับ 1 หมายถึงการได้ยินลดลงเล็กน้อย

วิธีดูดเสมหะผู้ป่วยเจาะคออย่างปลอดภัยวิธีดูดเสมหะผู้ป่วยเจาะคออย่างปลอดภัย

วิธีดูดเสมหะผู้ป่วยเจาะคอ เป็นวิธีการเอาเสมหะหรือสิ่งแปลกปลอมออกจากทางเดินหายใจส่วนบนของผู้ป่วยที่เจาะคอ โดยการใช้เครื่องดูดเสมหะ วิธีการนี้มักใช้กับผู้ป่วยที่ไม่สามารถไอหรือกลืนเสมหะได้เอง เช่น ผู้ป่วยที่มีอาการไอรุนแรง ผู้ป่วยที่มีภาวะหลอดลมอุดกั้น ผู้ป่วยที่มีภาวะอัมพาต เป็นต้น วิธีดูดเสมหะผู้ป่วยเจาะคออย่างปลอดภัยสามารถทำได้ตามขั้นตอนดังนี้ เตรียมอุปกรณ์ ได้แก่ เครื่องดูดเสมหะ สายดูดเสมหะสำหรับท่อเจาะคอ ถุงมือสะอาด หน้ากากอนามัย สำลี และ แอลกอฮอล์ ล้างมือให้สะอาด : ล้างมือด้วยสบู่และน้ำอย่างน้อย 20 วินาที เพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อ ใส่ถุงมือและหน้ากากอนามัย : สวมถุงมือและหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันการสัมผัสกับสิ่งปนเปื้อน เปิดเครื่องดูดเสมหะ :