e-NABLE Health ประโยชน์ของการทดสอบการได้ยิน

ประโยชน์ของการทดสอบการได้ยิน

ทดสอบการได้ยิน

การได้ยินเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อการสื่อสารและการใช้ชีวิต ช่วยให้เราสามารถได้ยินเสียงรอบตัว เข้าใจภาษา สื่อสารกับผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ ได้อย่างปกติ 

การสูญเสียการได้ยินเป็นปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อยมากขึ้นในปัจจุบัน สาเหตุของการสูญเสียการได้ยินมีหลายประการ เช่น เสียงดัง การติดเชื้อ การบาดเจ็บ โรคบางชนิด และอายุที่มากขึ้น

การทดสอบการได้ยินเป็นการตรวจวัดระดับการได้ยิน เพื่อประเมินว่ามีปัญหาในการได้ยินหรือไม่ การทดสอบการได้ยินสามารถทำได้โดยแพทย์หรือนักโสตศอนาสิกแพทย์

ประโยชน์ของการทดสอบการได้ยิน

การทดสอบการได้ยินมีประโยชน์หลายประการ ดังนี้

  • ช่วยให้ทราบระดับความรุนแรงของการสูญเสียการได้ยิน

ระดับความรุนแรงของการสูญเสียการได้ยินแบ่งออกเป็น 5 ระดับ โดยระดับ 0 หมายถึงการได้ยินปกติ ระดับ 1 หมายถึงการได้ยินลดลงเล็กน้อย ระดับ 2 หมายถึงการได้ยินลดลงปานกลาง ระดับ 3 หมายถึงการได้ยินลดลงรุนแรง และระดับ 4 หมายถึงการได้ยินลดลงมาก

การทราบระดับความรุนแรงของการสูญเสียการได้ยินจะช่วยให้สามารถวางแผนการรักษาได้อย่างเหมาะสม

  • ช่วยให้สามารถเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมได้

การรักษาการสูญเสียการได้ยินมีหลายวิธี เช่น การใช้เครื่องช่วยฟัง การผ่าตัด การใช้ยา เป็นต้น

การทราบระดับความรุนแรงของการสูญเสียการได้ยินจะช่วยให้สามารถเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับตนเองได้

  • ช่วยให้ป้องกันไม่ให้สูญเสียการได้ยินมากขึ้น

หากพบว่ามีสัญญาณเตือนของการสูญเสียการได้ยิน เช่น ได้ยินเสียงเบาลง ได้ยินเสียงไม่ชัด ได้ยินเสียงอู้อี้ ได้ยินเสียงเป็นสองเสียง ได้ยินเสียงดังผิดปกติ เป็นต้น ควรรีบไปทดสอบการได้ยิน เพื่อค้นหาสาเหตุและรับการรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้สูญเสียการได้ยินมากขึ้น

  • ช่วยให้หลีกเลี่ยงปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้น

การสูญเสียการได้ยินอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ตามมา เช่น ปัญหาทางจิตใจ ปัญหาการนอนหลับ ปัญหาสมาธิ ปัญหาการทรงตัว เป็นต้น

การทดสอบการได้ยินและการรักษาการสูญเสียการได้ยินอย่างทันท่วงที จะช่วยให้ป้องกันไม่ให้ปัญหาสุขภาพอื่น ๆ เกิดขึ้นได้

ใครควรทดสอบการได้ยิน

ทุกคนควรทดสอบการได้ยินอย่างน้อยปีละครั้ง โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อการสูญเสียการได้ยิน เช่น

  • ผู้ที่ทำงานในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงดัง
  • ผู้ที่มีอายุมากกว่า 65 ปี
  • ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพบางอย่าง เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคหูน้ำหนวก
  • ผู้ที่มีปัญหาการได้ยินในครอบครัว

วิธีการทดสอบการได้ยิน

การทดสอบการได้ยินมี 2 วิธีหลัก ได้แก่

  • การทดสอบการได้ยินแบบออดิโอเมตรี (Audiometry)

เป็นวิธีทดสอบการได้ยินโดยใช้เครื่องออดิโอเมตรี วัดระดับการได้ยินของเสียงที่ความถี่ต่าง ๆ โดยใช้หูฟังหรือลำโพง

  • การทดสอบการได้ยินแบบคำพูด (Speech Audiometry)

เป็นวิธีทดสอบการได้ยินโดยใช้เสียงคำพูดวัดระดับการได้ยินของเสียงคำพูดที่ระดับความดังต่าง ๆ

ราคาการทดสอบการได้ยิน

ราคาการทดสอบการได้ยินขึ้นอยู่กับสถานที่และอุปกรณ์ที่ใช้ โดยทั่วไปมีราคาประมาณ 1,000 – 5,000 บาท

ข้อควรปฏิบัติหลังการทดสอบการได้ยิน

หากผลการทดสอบการได้ยินพบว่ามีปัญหาการได้ยิน ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์หรือนักโสตศอนาสิกแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อรักษาการสูญเสียการได้ยินและป้องกันไม่ให้สูญเสียการได้ยินมากขึ้น

Related Post

ทำเลสิก

ก่อนทำเลสิกต้องดูปัจจัยอะไรบ้าง ?ก่อนทำเลสิกต้องดูปัจจัยอะไรบ้าง ?

เลสิก (LASIK) เป็นการผ่าตัดรักษาสายตาสั้น สายตายาว และสายตาเอียง โดยใช้เลเซอร์ปรับความโค้งของกระจกตา ทำให้แสงที่เข้ามากระทบตาหักเหเข้าสู่จอประสาทตาได้ชัดเจนขึ้น เลสิกเป็นการผ่าตัดที่ได้รับความนิยมสูงในประเทศไทย เนื่องจากให้ผลการรักษาที่มีประสิทธิภาพและสามารถมองเห็นได้ชัดเจนโดยไม่ต้องใช้แว่นตาหรือคอนแทคเลนส์อีกต่อไป 

ยาแก้ท้องอืดเด็ก

ทำความรู้จักกับอาการท้องอืดในเด็กทำความรู้จักกับอาการท้องอืดในเด็ก

อาการท้องอืด เป็นอาการที่พบได้บ่อยในทุกเพศทุกวัย ที่จะมีอาการแน่น จุกเสียด ปวดท้อง อิ่มเร็ว ท้องแข็ง รวมถึงมีอาการเรอ ผายลมและท้องร้องโครกครากหลังรับประทานอาหาร บางรายอาจมีท้องผูกหรือท้องเสียร่วมด้วย อาการนี้ส่วนใหญ่มักเป็นผลจากมีแก๊สหรือลมอยู่ในทางเดินอาหารเป็นจำนวนมาก เราเองที่เผ็นผู้ใหญ่แล้วมีอาการเหล่านี้ยังรู้สึกทรมาณ แล้วเด็กๆ ล่ะ จะรู้สึกขนาดไหน วันนี้เราจะพาไปทำความรู้จักกับอาการท้องอืดในเด็กและวิธีแก้ไขกันเลย อาการท้องอืดในเด็ก อาการท้องอืดของเด็กๆ  เป็นอาการที่พบได้บ่อยในเรื่องของโรคระบบทางเดินอาหาร ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากปริมาณก๊าซในกระเพาะอาหารและลำไส้มากเกินไป  ส่งผลให้เกิดอาการผิดปกติ  เช่น เรอบ่อย  อึดอัดแน่นท้องโดยเฉพาะหลังรับประทานอาหาร ท้องโตเป็นพักๆ ผายลมบ่อย เป็นต้น โดยเด็กนั้นมีระบบทางเดินอาหารของเด็กยังบอบบาง เอนไซม์ในการย่อยโปรตีน และแลคโตสยังทำงานไม่สมบูรณ์

วิธีดูดเสมหะผู้ป่วยเจาะคออย่างปลอดภัยวิธีดูดเสมหะผู้ป่วยเจาะคออย่างปลอดภัย

วิธีดูดเสมหะผู้ป่วยเจาะคอ เป็นวิธีการเอาเสมหะหรือสิ่งแปลกปลอมออกจากทางเดินหายใจส่วนบนของผู้ป่วยที่เจาะคอ โดยการใช้เครื่องดูดเสมหะ วิธีการนี้มักใช้กับผู้ป่วยที่ไม่สามารถไอหรือกลืนเสมหะได้เอง เช่น ผู้ป่วยที่มีอาการไอรุนแรง ผู้ป่วยที่มีภาวะหลอดลมอุดกั้น ผู้ป่วยที่มีภาวะอัมพาต เป็นต้น วิธีดูดเสมหะผู้ป่วยเจาะคออย่างปลอดภัยสามารถทำได้ตามขั้นตอนดังนี้ เตรียมอุปกรณ์ ได้แก่ เครื่องดูดเสมหะ สายดูดเสมหะสำหรับท่อเจาะคอ ถุงมือสะอาด หน้ากากอนามัย สำลี และ แอลกอฮอล์ ล้างมือให้สะอาด : ล้างมือด้วยสบู่และน้ำอย่างน้อย 20 วินาที เพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อ ใส่ถุงมือและหน้ากากอนามัย : สวมถุงมือและหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันการสัมผัสกับสิ่งปนเปื้อน เปิดเครื่องดูดเสมหะ :